2019 WEEK 2 "พีรเดช นรเศรษฐกร"

2019week2
8 มกราคม 2019 10 view(s)
2019 WEEK 2 "พีรเดช นรเศรษฐกร"

ABOUT HIM

 

สัปดาห์นี้ ขอชวนคุณมาหาไอเดียการตกแต่ง Poshtel ที่พักแนวใหม่ซึ่งเป็นที่นิยมในเมืองไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวสายแบ็คแพ็คเกอร์ เพราะเป็นที่พักสำหรับนักเดินทางที่โดดเด่นในดีไซน์สวยหรู อยู่สบาย มีสไตล์ แต่จ่ายได้ในราคาเบาๆ...ผ่านการพูดคุยกับ คุณเก่ง - พีรเดช นรเศรษฐกร เจ้าของและผู้ออกแบบ L’atelier Poshtel หนึ่งในพอชเทลสุดชิคบนเกาะภูเก็ต และเป็นผู้ก่อตั้ง Klickken Studio บริษัทออกแบบตกแต่งภายในที่มีความเชี่ยวชาญในงานออกแบบโฮสเทลโดยเฉพาะ

 

ส่วนตัวผมเป็นคนชอบงานศิลปะครับ  งานของ Klickken Studio ส่วนใหญ่เราก็จะออกแบบโดยดึงรายละเอียดของงานศิลปะใส่เข้าไปให้มันจับต้องได้  ทั้งงานเพนท์ งานปั้น งานเซรามิค เอามาทำยังไงก็ได้ให้มันเป็นอีกรูปแบบนึงในการนำเสนอ  อย่างที่ L’atelier Poshtel Phuket ก็มีการนำศิลปะโกธิคซึ่งเป็นศิลปะแบบยุโรปยุคกลางเข้าไปผสม เป็นงานปูน ไม้และโลหะดิบๆ  ซึ่งผมก็ได้แรงบันดาลใจและซึมซับมาจากตอนที่ไปตะเวนไปดูงาน Art ตามเมืองต่างๆ ในยุโรป เมื่อหลายปีก่อน แต่ปีหน้าผมอยากจะลองเรื่อง Art Deco และก็พวกเทคนิควิธีการผูก มัด ถัก ทอ ย้อม อะไรต่างๆ ซึ่งมันอยู่ในวัฒนธรรมเรามานานแล้ว คือ ผมมองว่าเราควรต้องข้ามผ่านอะไรเดิมๆ ที่เราเคยทำ  เพราะพอมันถึงจุดนึงที่ได้สนุกได้ลองทำแล้ว ก็พอแล้วล่ะ !! มันต้องลองเปลี่ยนต้องหาอะไรใหม่ๆ แล้วล่ะ เพราะผมสนุกที่จะได้เรียนรู้  ค้นหา และทดลองอะไรไปเรื่อยๆ ครับ

 

งานออกแบบของผม ส่วนใหญ่จะเน้นที่ “การสร้างความรู้สึกที่เห็นครั้งแรก” และ “ความรู้สึกที่เกิดจากการใช้งานพื้นที่” คือ มันต้องสร้าง Impact ทำให้คนสงสัยว่า “นี่คืออะไร?” มันจะชวนได้ให้คนอยากเข้าไปดูไง  พอเข้าไปปุ๊บ ทีนี้จะเป็นลูกเล่นในการดีไซน์ซึ่งจะเป็นคนละอารมณ์กับภาพข้างนอกที่เขาเห็น คือ ผมชอบอะไรที่มันขัดแย้งกัน  ชอบเรื่องการสร้าง Meaning ให้ความรู้สึกครับ งานออกแบบของ Klickken Studio ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีสักเท่าไหร่ครับ  เพราะเราไม่อยากติดอยู่ในกรอบมากเกินไป ผมว่าเราควรจะ “ทำงานให้มันออกมาเป็นตัวอย่างให้คนอื่น” ไม่ใช่ “เอาตัวอย่างของคนอื่นมาทำงาน”

 

อีกเรื่องที่ผมสนใจ คือ การเล่นกับ Material โดยเฉพาะที่เป็นเนื้อดิบๆ เช่น ไม้และโลหะ ซึ่งเดี๋ยวนี้เอามาใช้กันเยอะแต่เราก็ “ไม่ได้เอามาใช้แบบซื่อๆ” แต่คือผมจะชอบลองนำวัสดุไปใช้ในรูปแบบอื่น เช่น อาจจะลองไปเผาหรือทำโน่นนี่ใส่ลงไป  แต่จริงๆ มันก็แล้วแต่จังหวะด้วยล่ะครับ เพราะบางครั้งการหยิบมาวางดื้อๆ เลย มันก็ให้ความรู้สึก “กวนๆ” ดีเหมือนกัน  จริงๆ ผมเชื่อว่าโลกนี้ “มันไม่มีอะไรใหม่” แล้วครับ เพียงแค่เรายังไม่เห็นแค่นั้นเอง  โลกมันมีมาเป็นพันปี ดีไซน์เขาก็ทำกันมาตั้งเท่าไหร่แล้ว มันอยู่ที่เราจะเอามันมาใช้ยังไงมากกว่า

 

สิ่งที่ผมให้ความสำคัญในงานออกแบบ คือ “การทดลองทำสิ่งใหม่ๆ” ครับ ผมมักจะหา “แพสชั่น” ก่อนแรงบันดาลใจเสมอ คือหาสิ่งที่อยากได้ก่อน แล้วดูว่ามันเป็นไปได้ไหมหรือเป็นไปได้มากที่สุดแค่ไหน  จากนั้นไปหาวิธีการและทำให้มันเป็นไปได้  “ไม่ใช่เอากรอบความเป็นไปได้มาตั้ง” แล้วค่อยดีไซน์ อันนั้นมันจะทำให้เรา “ออกจากะลาไม่ได้”  ซึ่งที่ Klickken Studio เราศึกษาและทดลองเรื่องวัสดุต่างๆ มากมาย ที่ไม่ Work ก็เยอะ ผมมองว่า “สิ่งที่ผิดพลาด” มันโคตรเจ๋งเลย มันบอกเราว่า อ๋อไม่ใช่ ต้องลองวิธีใหม่ ครั้งไหนที่สวย เราจะพอใจแค่นั้นก็ได้หรืออยากจะสวยต่อเราก็ดื้อด้านต่อไป  ผมว่ามันเป็นการเรียนรู้อย่างนึงและทำให้เราจำได้มากกว่าการอ่านหนังสือหรือเปิดยูทูปแล้วทำตาม

 

มุมมองเรื่องงานออกแบบ ตอนนี้ผมมีความรู้สึกว่า Back to Basic น่าจะดีนะครับ คือเดี๋ยวนี้ผมไม่เสพกรุงเทพฯ แล้วนะ ไม่ไปที่ที่เขาบอกว่าฮิตว่าใหม่  เพราะรู้สึกว่าไปแล้วก็เท่านั้น  เราจะไปดูเพื่อ? จะไปเอาสไตล์เขามาใช้เหรอ?  คือ ถ้าคุณเจอตัวเองแล้วจะหนีตัวเองอีกทำไมคือผมรู้สึกว่าการกลับไปที่ “จุดเริ่มต้น” มันกลับทำให้เราได้แรงบันดาลใจในการทำงานมากกว่า อย่างตอนนี้น้องชายผมไปซื้อที่ไว้ที่เชียงดาว เราไปที่นั่นปีละ 2-3 ครั้ง แต่กลับไปแบบไม่ยุ่งอะไรกับป่าเลย เราไปซื้อแค่เศษไม้มาต่อเป็นเพิง ทางเข้าก็สับๆ ดินเอา การได้ไปอยู่กับธรรมชาติ กลับทำให้ผมเห็นดีไซน์มากกว่าการไปเดินในเมืองซะอีก เพราะพอไปอยู่ป่า เราได้เจอวิธีคิดของชาวบ้าน ที่บางทีเขาก็ใช้ Detail “แบบซื่อๆ” ในการแก้ปัญหา เช่น การวิธีการขัดไม้ การทำแผงรับ ทำบานประตู  เขาเอาไม้ไผ่มาเจาะรูมันก็กลายเป็นบานเลื่อนได้เฉยเลย

 

หรือบางทีก็ไปเจอใบไม้แปลกๆ  ทำให้เราได้เห็น Form, Shape, Texture สวยๆ...มันเหมือนเป็น“มหัศจรรย์ในธรรมชาติ” มันก็มีความหลากหลายและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกวันไม่ซ้ำกันเลย  ผมมองว่างานที่เราทำเป็นอาชีพที่สร้าง Need ให้คนอื่น ถามว่าสิ่งเหล่านี้สิ้นเปลืองไหม มันสิ้นเปลืองทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามีเงินก็แน่นอนว่าเราทุกคนก็คงอยากจะแสดงตัวตนให้คนอื่นเห็น  

 

  • ใครจะทำ Hostel สิ่งสำคัญของคือ 1.First Impression  2.Facilities 3.Infrastructure หลักรอบๆ นอกจากนี้ ควรคำนึงให้ดีว่าลูกค้าคุณเป็นใคร ถ้าเป็นต่างชาติก็ไม่ต้องคิดเรื่องที่จอดรถมาก (แต่มีไว้หน่อยก็ดี) ส่วนเรื่องการตกแต่ง ผมว่าภายในห้องควรแต่งให้น้อย ส่วนตัวผมแต่งน้อยแต่ผมยอมจ่ายเพื่อฟูกแพงๆ เพื่อให้คนที่จะมาพักเขามีความสุข คนที่เหนื่อยๆ มา เขาคงไม่มานั่งใช้พร๊อพอะไรในห้องหรอก (ส่วนใหญ่ของแต่งบ้านจะไปอยู่ที่โถงกลาง ไม่ต้องลงพร๊อพเยอะ เพราะมันจะมีแต่หายกับหาย  ถ้าจะมีเฟอร์นิเจอร์ก็ให้เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่สบายและดูแลรักษาง่ายจริงๆ โฮสเทลเป็นตลาดที่แข่งขันสูงมากในช่วงปีหลังๆ ก่อนจะทำ ผมว่าศึกษาตลาดให้ดีๆ ก่อน อาจจะทำเป็นห้องที่มันสามารถปรับเปลี่ยนได้ เป็นห้องเดี่ยว ห้องรวม ห้องแฟมมิลี่ หรืออะไรก็ตามที่มัน More Function เพื่อทำให้ลูกค้ามีทางเลือกเยอะๆ  

 

  • เวลาจะออกแบบตกแต่งบ้าน ผมจะแนะนำให้เจ้าของบ้าน “เป็นตัวของตัวเอง” ให้มากที่สุด ให้บอกความต้องการของตัวเองให้ชัดว่าต้องการพื้นที่แบบไหน  มีแรงบันดาลใจแบบอะไร  โดยไม่ต้องสนใจว่า “คนอื่น” จะมีพฤติกรรมยังไง เราอย่าไปเลียนแบบ  ถ้าเจ้าของบ้านบอกว่าไปเห็นอันนี้สวยอันนั้นสวย แต่นั่นมันคือ “คนอื่น” ไงครับ ถ้าเราจะเสียตังค์ทำบ้านทั้งที คุณจะทำให้เหมือนคนอื่นทำไม ผมอยากให้ “เจ้าของบ้าน” ทุกคนเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดครับ

 

  • บ้านไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์หรอก เทรนด์มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผมเลยใช้วิธีที่มันเรียบง่ายที่สุด คือ การใช้เฟอร์นิเจอร์ลอยตัว ไม่ได้กรุอะไรเยอะ งานตกแต่งก็ขัดเรียบๆ ทาสีบ้าง ขัดมันบ้าง ผมเน้นที่แสงกับลมเยอะๆ แล้วพอคิดจะเปลี่ยนอะไรมันก็ง่าย...“บ้าน” เป็นที่ที่คุณจะต้องอยู่กับมันไปอีกนาน  มันควรจะเปลี่ยนได้เรื่อยๆ  ทุกอย่างควรเปลี่ยนเข้าออกได้ตลอดเวลา

 

Favorite items

 

Living Inspiration @ SB Design Square

 

มุมนี้เด่นเรื่องการผสมผสานวัสดุและโทนสีครับ ผมว่าจังหวะของโทนสีมันมีความเป็นพาสเทล แล้วก็ใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกสบายไม่อึดอัด ไม่ดูจริงจังเกินไป และก็มีโซฟาผ้าดีไซน์กุ๊นขอบกับตู้ลิ้นสไตล์วินเทจ  มันให้ความรู้สึก Cozy ควบคู่กันไป ให้ความรู้สึกผ่อนคลายดีครับ

 

 

ส่วนมุมนี้ ผมว่าดูมันส์ๆ ดี มันให้ความรู้สึกของ “ความเป็นเรื่องราว” ได้ดีครับ คือไม่ใช่เอาโคมไฟมาตั้ง เอาแจกันมาวาง แบบนั้นมันจะดูเป็นแค่เรื่องของพร๊อพ แต่อันนี้คือ มันมีชั้นหนังสือ มีหัวจระเข้ หัวกะโหลกที่เหมือนไปแช่ฟอร์มารีนมา คือพอมองแล้วมันมีเรื่องราว “ให้เอ๊ะ!” ขึ้นมา ทำให้พื้นที่มันดูมีอะไรดูน่าสนใจขึ้นครับ

 

ต้องการความช่วยเหลือทักแชตเลย

Live Chat With SB Design Squarex